...
ศักราชโซเฟียที่ 35..
เลออน กลาดิอาเรียส กษัตริย์หัวใจราชสีห์แห่งอาณาจักรตะวัน โซเลีย สิ้นพระชนม์ลงด้วยฝีดาบของพระโอรสองค์โต ทำให้เกิดเหตุการณ์ความยุ่งเหยิงหลายๆ อย่างภายในนครแห่งความรุ่งโรจน์ กลอรี่ เมืองหลวงของโซเลีย โดยเฉพาะการคัดเลือกกษัตริย์องค์ใหม่ตามธรรมเนียมโบราณของอาณาจักรด้วย.. การประลอง..
ด้วยความเก่งกาจสามารถของพระโอรสองค์โตทำให้ผ่านการประลองสุดหฤโหดของเหล่าราชวงศ์ทั้งหลายมาได้โดยไร้แม้เพียงรอยขีดข่วน ในที่สุดพระองค์ก็ได้ครอบครองมงกุฎตะวันของโซเลีย กิตติศัพท์ความเก่งกล้าและความร้ายกาจของ ‘จักรพรรดิคลั่ง’ แพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ..
ทางด้านลูนาร์เทีย ‘พระจันทร์สีเงิน’ ราชาเซซิล วาเลนไทน์ พาเลซไนท์ <Palace Knight> ได้เรียกตัว ‘จตุมณีแห่งลูนาร์เทีย’ 4 แม่ทัพผู้เก่งกล้ามาพบเพื่อหารือในการเตรียมรับมือกับท่าทีที่ยังไม่แน่นอนของจักรพรรดิคลั่งแห่งโซเลีย
“มากันครบแล้วสินะ.. ข้าอยากปรึกษาพวกเจ้าก่อนที่จะทำการอะไรลงไป” ราชาแห่งนครแสงจันทร์ทอดสายตามองลงไปที่โต๊ะหินกลมที่เหล่าแม่ทัพทั้ง 4 นั่งอยู่ เทียนไขบนเชิงเทียนสีเงินไหววูบเมื่อต้องลมเบาๆ
‘ไพลินอเมซอน’ เจ้าหญิงโรซ่า บลูซิลเวอร์ มิสเทรสกลาดิเอเตอร์ <Mistress Gladiator> ผู้เป็นน้องสาวบุญธรรมของราชาเซซิลเอ่ยขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก “เซซิล ข้าว่าเจ้านั่นท่าทางไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ คิดดูสิขนาดพ่อตัวเองยังฆ่าได้..”
“แต่เราก็ยังแน่ใจไม่ได้หรอกว่าข่าวนั้นจะเป็นความจริง.. ลูกชายของเลออน ก็เหมือนกับหลานของพวกเรานั่นแหละ” ‘บุหลันเพชร’ ราชินีออโรร่า วาเลนไทน์ ผู้ดำรงตำแหน่งไวท์พาลาดิน <White Paladin> เจ้าของกองทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์พาลาดินแย้งขึ้น
“ขออภัยพะย่ะค่ะ.. เรื่องนี้ชาวโซเลียอย่างหม่อมฉันยืนยันได้ถึงนิสัยของ จักรพรรดิคลั่ง ครอส กลาดิอาเรียส เจ้านั่นเป็นคนชอบเลือด.. การต่อสู้คือสิ่งโปรดปราน.. อำนาจคือความถูกต้อง.. และความเก่งนั่น.. เป็นของจริง” ‘แม่ทัพสีนิล’ เซน กรอส แบล็คเบอร์เซอร์เกอร์ <Black Berserker> ผู้คุมกองลาดตระเวนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ราชาเซซิลทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปถามคนที่ยังคงนิ่งเงียบ “แล้วท่านว่าอย่างไร รูบี้ซัมมอนเนอร์ คิด มิเรน่า”
คิด มิเรน่า ไฮซัมมอนเนอร์ <Hi-Summoner> ‘นักอัญเชิญสีทับทิม’ ใช้มือลูบคาง “หม่อมฉันว่า.. เราลองส่งทูตไปเชื่อมสัมพันธ์ดูก่อน เพราะว่าลูนาร์เทียกับโซเลียก็เป็นพันธมิตรกันมาก่อน ถ้าหากว่าล้มเหลว.. เราก็ควรเตรียมกำลังรบป้องกันป้อมปราการอเมซอนไว้ได้เลยพะย่ะค่ะ เพราะหากเป็นอย่างที่ท่านเซนว่า จักรพรรดิ คลั่ง พระองค์นั้นคงต้องเริ่มก่อสงครามชิงดินแดนในไม่นานนี้แน่..”
แล้วการประชุมก็ดำเนินต่อไป..
…
“การประชุมเป็นอย่างไรบ้าง เซน” สังฆราชขาวในชุดนักบวชเต็มยศก้าวเท้าเนิบๆ เข้ามาหานักรบหนุ่มชุดหนังสีดำที่กำลังยืนพิงเสามองเหม่อไปทางสวนสวย เธอคลุมผมครึ่งหนึ่งไว้ด้วยผ้าคลุมสีขาวขลิบขอบด้วยด้ายสีน้ำเงินประกาย ประดับด้วยคลิปโลหะสลักตรากางเขนและจี้สวมศีรษะรูปกางเขนสีเงินยวง ปลายผมยาวรวบไว้กับเครื่องประดับรูปไม้กางเขน เสื้อแขนยาวสีขาวผ่าช่วงเอวลงไปขลิบด้วยด้ายสีเดียวกับผ้าคลุมผม ตามชุดมีสัญลักษณ์กางเขนสีเงินประดับไว้หลายจุด รองเท้าส้นสูงสีขาวส่งเสียงกึกเป็นระยะเมื่อส้นกระทบกับพื้นหินอ่อนของระเบียงทางเดินชั้นล่าง
เซน แม่ทัพสีนิลเบือนดวงตาสีอเมทิสต์มาสบกับเนตรคู่โตสวยของเธออย่างช้าๆ พร้อมกับยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วค้อมหัวคำนับ “ก็ดีพะย่ะค่ะ..”
“ฮึ! ดีบ้าอะไรเล่า” คนที่เดินมาใหม่ทำหน้าบึ้งใส่ ราชินีออโรร่าในชุดเกราะอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ไวท์พาลาดิน ขมวดคิ้วมุ่นแล้วถอนหายใจยาว “มีแต่เรื่องเครียดๆ ทั้งนั้นข้าล่ะเหนื่อยใจ..”
“ท่านแม่/ท่านออโรร่า” สองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
ออโรร่ายิ้มเจื่อน นางส่ายหน้าน้อยๆ แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าๆ ว่า “ถ้าโชคดีเราไม่ต้องทำสงครามก็คงดีสินะ.. ข้าไม่อยากสูญเสียอะไรเพราะสงครามอีก..”
“สงครามไม่เคยให้อะไรกับใคร..”
ไวท์พาลาดินพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะเดินหายไปจากคลองสายตา
...
“หมั้น?” เจ้าหญิงน้อยที่บัดนี้อายุเกือบครบ 16 ปีตะโกนลั่น
พระราชาและราชินีพยักหน้ารับคำถามของเจ้าหญิงองค์โต “ใช่.. เจ้าจะต้องหมั้นกับลูกชายของราเวน”
“ลูกชายของท่านน้าราเวน คนที่หม่อมฉันไม่เคยแม้รู้จักชื่อรึเพคะ? ท่านพ่อท่านแม่ทำกับลูกอย่างนี้ได้อย่างไรเพคะ? ทำไมไม่คิดถึงใจลูกบ้าง” เจ้าหญิงพูดตัดพ้อด้วยความน้อยใจ แล้วจึงวิ่งหายลับไป
เซน่าเปิดประตูเข้ามาในห้องบรรทมของเจ้าหญิง องครักษ์สาวปลอบโยน “ไม่เป็นไรเพคะ อย่ากรรแสงเลย”
“ฮือ.. เซน่า ข้าจะไม่ได้แต่งงานกับคนที่ข้ารัก.. มันเป็นหน้าที่ใช่มั๊ย เจ้าหญิงก็มีหน้าที่ของเจ้าหญิง พระราชาก็มีหน้าที่ของพระราชา แต่หน้าที่ของพ่อต่อลูกล่ะ?” เจ้าหญิงโผเข้าหาเซน่าที่เป็นแทบทุกอย่างให้กับเจ้าหญิงองค์นี้ เซน่าเป็นทั้งองครักษ์ ทั้งพี่เลี้ยง เป็นทั้งพี่สาว เป็นทั้งเพื่อน..
“ความรักกับหน้าที่.. บางทีมันก็ขัดแย้งกันเพคะ..” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
…
ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนส่องประกายแพรวพราวระยิบระยับ จันทราทั้งสองดวงกำลังส่องแสงสีนวลสว่าง และสีฟ้าอ่อนๆ สายลมแผ่วเบาของฤดูร้อนอันแสนสั้นของลูนาร์เทียพัดมาต้องผ้าม่านให้ปลิวไหว เจ้าหญิงสองพี่น้องของพระเทศแสงพระจันทร์กำลังนั่งสนทนากันอย่างลำพังภายในห้องบรรทมของเจ้าหญิงองค์โต
“เจ้ารู้รึยังว่าท่านพ่อจะให้ข้าหมั้นกับลูกชายของท่านน้าราเวน?” สังฆราชขาวแห่งประเทศแสงพระจันทร์ลูนาร์เทียพูดกับน้องสาวด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
“..ทราบแล้วเพคะ..” เจ้าหญิงแอนเน็ตต์ตอบอ้อมแอ้ม “หม่อมฉันได้ยินมาว่าอย่างนั้น..”
แองเจลาพ่นลมหายใจออกจมูกด้วยเสียใจปนความหงุดหงิด “ฮึ! ท่านพ่อคิดอะไรของท่านนะ สงครามจะเกิดรึเปล่าเนี่ยข้ายังกังวลไม่หายเลย นี่ยังจะหาเรื่องให้ข้าปวดหัวกับงานหมั้นของตัวเองอีก...” ก่อนที่น้ำเสียงของราชนิกูลสาวจะแผ่วลง “ข้าน่ะ.. ยัง..”
“แล้วหมอนั่นชื่ออะไรเหรอแอนเน็ตต์? เจ้ารู้บ้างมั๊ย” จู่ๆ เจ้าหญิงรัชทายาทอันดับหนึ่งก็หันมาถามน้องสาวที่กำลังมองมาด้วยความหวั่นๆ กับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของพี่สาว
“..เซอร์รัสเพคะ.. เซอร์รัส เฟนเรียส แต่หม่อมฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาเหมือนกัน ได้ข่าวแค่ว่า..” แอนเน็ตต์ตอบ ยิ่งพูดคิ้วของเธอก็ยิ่งมุ่นขึ้นเรื่อยๆ พาเอาคิ้วของคนเป็นพี่สาวขมวดเป็นปมตาม
“อะไร?” แองเจลาเอียงคอถาม จนเจ้าหญิงรัชทายาทอันดับสองต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ “..ข้อมูลอย่างเดียวที่มีคือเขาเป็นลูกชายคนเดียวของท่านน้าราเวนกับท่านน้าซีรีนเพคะ ส่วนเรื่องอื่นไม่มีข้อมูลเลย อย่างกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ในลูนาร์เทียเพคะ..”
“...” แองเจลาทิ้งตัวลงกระแทกเตียงจนยวบอย่างหัวเสีย น้ำตาหยาดใสๆ มันแอบมาคลอโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ “ทั้งๆ ที่ข้าอยากเห็นหน้าหมอนั่น แล้ว.. คุยกันให้มันรู้เรื่องนี่นะ.. แบบนี้.. ข้าคง..”
แอนเน็ตต์นั่งมองพี่สาวของตนด้วยแววตาเศร้าหมอง “หม่อมฉันช่วยอะไรพี่หญิงไม่ได้เลย.. ทั้งๆ ที่หม่อมฉันรู้ว่าพี่หญิงรักใครแท้ๆ ..”
แองเจลาได้ยินก็ลุกขึ้นพรวดพราดแล้วเช็ดน้ำตาออกด้วยชายเสื้อแก้มทั้งสองข้าขึ้นสีแดงเรื่อๆ เธอปฏิเสธเป็นพัลวัน “ข้า.. ข้าไม่ได้รักเจ้านั่นนะ เจ้าอย่า.. อย่า..” แต่เมื่อเห็นหน้าตาที่เศร้าหมองของน้องสาวสุดที่รักแล้วน้ำตาก็ร่วงผล็อย..
“หม่อมฉันเห็น.. หม่อมฉันทราบทุกอย่าง.. และหม่อมฉันก็รักเขาเหมือนกับที่พี่หญิงรัก แต่เพื่อพี่หญิงแล้ว หม่อมฉันยอมเสียสละได้ทุกอย่าง ทุกอย่าง.. แม้ชีวิตของหม่อมฉัน” เจ้าหญิงน้อยแห่งลูนาร์เทียพูดด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง แองเจลาจ้องมองดวงตาสีน้ำเงินเข้มไม่หวั่นไหวของน้องสาวก็โผเข้ากอดแล้วร้องไห้ออกมา
“แอนเน็ตต์ อย่านะ.. เจ้าไม่ต้องทำเพื่อข้าถึงขนาดนั้น เจ้าจะทิ้งความสุขทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อข้าไม่ได้นะ เจ้าห้ามคิดอย่างนี้อีกนะ แล้วห้ามคิดจะตายด้วย ไม่งั้นข้าคง..” แองเจลาฟูมฟาย เธอกอดตัวน้องสาวไว้แน่นราวกับกลัวว่าจู่ๆ น้องสุดที่รักจะจางหายไปต่อหน้า
แอนเน็ตต์หลุุบตาลงช้าๆ “เพคะ..”
ทั้งคู่หารู้ไม่ว่าการสนทนาระหว่างสองพี่น้องกำลังถูกแอบฟังโดยใครบางคน เขาคนนั้นถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย ดวงตาสีไพลินของเขาเหม่อมองขึ้นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม เส้นผมสีบลอนด์ของเขาถูกโบกเบาๆ ด้วยสายลมอ่อน “...ท่านแม่.. ท่านบอกข้าที ที่ข้าทำมันผิดรึเปล่า?..”----------------------------------------
เอากันให้ตายไปข้างนึงเลย